ไอเดียความคิด

ไอเดียความคิด จะดีและเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ “เลิกฟัง” และ “ช่างแม่ง”

รีวิวหนังสือ “ช่างหัวคุณสิครับ”

ไอเดียความคิด-รีวิวหนังสือ

ไอเดียความคิด ในการเลือกหนังสือเล่มนี้ ขอบอกก่อนเลยว่า สาเหตุที่ผมตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้เดินออกไปจ่ายเงิน นั้นไม่ได้เกี่ยวกับว่าผมกำลังมีปัญหากับคนรอบข้าง ไม่ได้ต้องการหนังสือพัฒนาคุณภาพจิตใจ แต่ผมค่อนข้างถูกโฉลกกับคำพูดที่ให้อารมณ์เหมือนกับกำลังจะฟาดหัวใครสักคนอย่าง ช่างหัวคุณสิครับ ทั้งๆ ที่ในใจผมอยากจะได้คำอย่างว่า ช่างหัว…สิครับ อะไรแบบนี้มากกว่า

แต่หลังจากหยิบมาอ่าน อ่าวเฮ้ยแม่งดีกว่าที่คิดนี่หว่า หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนโดยนักเขียนผู้เจนสนามเป็นอย่างมาก ในวงการโฆษณาอย่าง Hugh Macleod ที่เริ่มต้นวาดการ์ตูนที่ตัวเองชอบบนนามบัตรในเวลาที่ตัวว่าง

คือพูดถึงการ์ตูนมันไม่ใช่แบบ 4 ช่องจบ หรืออะไรแบบที่คุ้นหน้าคุ้นตากันในบ้านเรานะครับ แต่เป็นการ์ตูนประเภทปรัชญาสอนใจ แบบอ่านรู้เรื่องจบภายในช่องเดียว ในตอนแรกก็ไม่มีใครสนใจหรอกครับว่าเขากำลังทำอะไร

จนกระทั่งอีตา Hugh ได้ทำการเปิดเว็บบล็อกของตัวเองที่ชื่อว่า gapingvoid.com ผลงานของเขาก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนกลับกลายเป็นว่างานอดิเรกของเขานั้น สามารถสร้างเงินและชื่อเสียงได้มากกว่าการโฆษณาของเขาซะอีก

ไอเดียความคิด-เปิดเว็บบล็อกของตัวเอง

เหมาะมากเลยสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่าอยากจะลาออกจากงาน หรือคนที่กำลังจะเริ่มต้นทำอะไรของตัวเองสักอย่าง หรือแม้กระทั่งคนที่กำลังคิดจะทำงานฟรีแลนซ์อย่างจริงๆ จังๆ นั้นเอง

เพราะนี่เป็นตัวอย่างของมนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ทำงานด้วยหัวใจของตัวเองที่ดีเป็นอย่างมาก เพราะนอกเหนือจะรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำแต่ละวันแล้ว ยังรับผิดชอบต่อความฝันที่ดีของตัวเองได้อีกด้วย

มีใครหลายๆ คนถามเขาถึงเคล็ดลับของการประสบความสำเร็จ ซึ่งทั้งหมดนั้นอยู่ในหนังสือเล่มนี้โดยแบ่งหัวข้อออกมาทั้งหมด 40 หัวข้อ

เยอะฉิบหาย!!

โดยผมจะแนะนำมาเป็นบางข้อที่ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจ และสามารถประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเราจริงๆ ก็แล้วกัน

เพราะไม่งั้นบทความนี้จะไม่ใช่รีวิวหนังสือ แต่เป็นการสรุปหนังสือไปแทนซะอย่างนั้น พร้อมกับยกตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้คนอ่านสามารถทำความเข้าใจได้แต่โดยง่ายอีกด้วย


1. ไม่ต้องเป็นไอเดียที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงแค่เป็นไอเดียของเราก็พอแล้ว

พลังความทุ่มเทที่เรามีให้กับงานเขียนนั้นๆ จะมอบแรงบันดาลใจให้กับผู้คนที่ได้รับมัน มากกว่าที่จะได้รับจากงานของคุณเสียอีก

ความหมายก็คือ ไม่สำคัญหรอกว่าไอเดียนั้นมันจะดีหรือแย่มากแค่ไหน ขอเพียงแค่คุณใส่หัวใจของตัวเองและทุ่มเทมันลงไปให้กับงานชิ้นนั้นๆ คนเสพจะสามารถรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของคุณได้อย่างรวดเร็ว

และสิ่งนั้นแหละจะเป็นแรงบันดาลใจที่ส่งต่อไปยังกลุ่มคนอื่นๆ ที่ได้อ่านงานของคุณ

มนุษย์ทุกคนล้วนเคยทุ่มเทพลังงานให้กับอะไรสักอย่าง การเปิดกิจการร้านค้า งานศิลปะ ร้องเพลง เล่นดนตรี เขียนหนังสือ และแน่นอนว่าทุกคนเคยพลาดล้มไม่เป็นท่ากันมาแล้วมากมายหลายครั้ง คนเขียนเล่าว่าตัวของเขาเองก็เคยพยายามเปลี่ยนงานของตัวเองให้เป็นอะไรที่พิเศษ

เหมือนกับที่หนังสือหลายๆ เล่มแนะนำออกมาว่า ทำงานของคุณให้เป็นอะไรที่มากกว่างาน หลังจากนั้นเดียวทุกอย่างจะดีตามมาเอง

โชคไม่ดีที่คำแนะนำเหล่านั้นไม่สามารถใช้ได้กับเขา เพราะยิ่งเขาพยายามมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งแย่มากขึ้นเท่านั้น ส่งผลทำให้หลังเลิกงาน Hugh มักจะเสียเวลาไปนั่งอยู่ในบาร์แล้วทำอะไรเรื่อยเปื่อย

1 ในสิ่งเรื่อยเปื่อยที่เขารักจะทำมันมากที่สุด นั้นก็คือการวาดการ์ตูนบนหลังนามบัตรของเขา ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าการ์ตูนของเขาจะดังมากขนาดนี้ ในตอนนั้นเขาก็มองมันแค่เรื่องที่เสียเวลาแค่เท่านั้น ไม่สามารถทำเป็นธุรกิจได้ ควรเอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นดีกว่า

ไอเดียความคิด-สบายใจเป็นอย่างมาก

แต่ช่วงเวลานั้นเป็นอะไรที่เขาสบายใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ต้องกดดันตัวเองให้ต้องทำออกมาได้ดี ไม่ต้องพยายามทำให้ใครประทับใจในผลงาน ไม่ต้องพยายามทำอะไรให้ตัวเองก้าวหน้า

เขาเล่าว่าถ้าเกิดคุณสร้างผลงานด้วยความรู้สึกแบบนี้ โลกจะเริ่มหันมาสนใจผลงานของตัวคุณเอง

ไอเดียที่ดีจึงไม่จำเป็นจะต้องยิ่งใหญ่อะไร ขอเพียงมันเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ความสนุกของตัวของคนทำ ผู้เสพจะได้รับสิ่งเหล่านั้นในภาพของแรงบันดาลใจกลับไปนั่นเอง

เอาจริงๆ แล้วในหัวข้อนี้ผมค่อนข้างทึ่ง เพราะหลายๆ ครั้งก่อนที่ผมจะเริ่มต้นทำงานเขียนอะไรสักอย่างหนึ่ง ผมจะต้องดูว่าผมจะเขียนให้คนแบบไหนอ่าน และจะสร้างคอนเทนต์แบบไหนที่แปลกและน่าสนใจ มากพอที่เขาจะยอมเสียเวลามาอ่านงานของผม

ยิ่งสำหรับฟรีแลนซ์คุณลูกค้าแล้วนั้น มันก็อดไม่ได้ที่จะเกร็งแล้วก็ตั้งใจทำผลงานออกมาดีที่สุด โดยเหล่าฟรีแลนซ์จะทราบกันดีอยู่แล้วว่า ถ้าเกิดก็คือเกิด ถ้าดับก็คือดับ ทุกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นภายในเพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น

บางทีผมอาจเริ่มทำงานอดิเรกอะไรบางอย่าง ที่คล้ายๆ กับการวาดการ์ตูนบนหลักนามบัตรของตัวเอง เพื่อที่ผมจะได้ปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกไปได้อย่างเต็มที่

เพราะถึงแม้มันอาจไม่สามารถทำกำไรได้ แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ดีขึ้นนั่นเอง


2. อย่าเอา ไอเดียความคิด ภายในของคุณไปเปรียบเทียบกับภายนอกของคนอื่นเด็ดขาด

ยิ่งเราทำงานไปนานมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งสามารถแยกประเภทของรางวัลที่ตัวเองจะได้มากขึ้นเท่านั้น โดยรางวัลนั้นหลักๆ มีทั้งหมด 2 แบบ 1. รางวัลที่มาแบบในรูปธรรม เงินค่าตอบแทน เงินรางวัล 2. รางวัลที่ได้จากใจของคุณ เสียงขอบคุณ การสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ

ถึงแม้ผลงานของเราอาจไม่ได้ดีเด่นมากนักในเรื่องของการสร้างรายได้ แต่มันกลับสร้างแรงบันดาลให้ใครสักคนได้เพียง 1 คน นั้นก็เป็นรางวัลทางใจที่มากพอและใหญ่โตพอแล้ว

คนเขียนเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนเองนั้นเคยได้รู้จักกับคนขายเตาผิง ชายคนนี้มีวิธีการทำงานเงินที่น่าสนใจและได้รายได้สูง เขามักจะเดินไปขอซื้อเตาผิงสกปรกๆ จากบ้านเก่าๆ ในราคาถูกแสนถูก หลังจากนั้นก็จะนำมันกลับมาซ่อมด้วยความรักแล้วก็ขายออกไปในราคาแพง

ซึ่งไม่ต้องบอกเลยว่าพวกคนรวยๆ ชอบมันมากแค่ไหน และธุรกิจนี้ก็เป็นไปได้ดีมากเลยละ

อาชีพที่ดีที่สุดในโลกมักจะเกิดขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาเล่าว่าชายคนนี้จริงๆ แล้วชอบของเก่าและอยากจะเปิดร้านขายของเก่ามากๆ แต่เขากลับไม่ยอมเปิดมันและเลือกขายแต่เตาผิงเพียงเท่านั้น

“ชั้นไม่อยากขายของเก่า” นี่คือคำพูดของชายซ่อมเตาผิง

ไอเดียความคิด-ชายซ่อมเตาผิง

เขาบอกว่า เขาไม่อยากขายสิ่งของที่ตัวเองรักออกไปให้อยู่ในมือคนอื่น เขาอยากเก็บสิ่งของเหล่านั้นเอาไว้กับตัว เพราะมันมีคุณค่าทางจิตใจให้กับเขามากกว่าเตาผิงพวกนี้เป็นอย่างมาก

เอาจริงๆ แล้วผมค่อนข้างสับสนหัวข้อนี้พอสมควร โดยมันเป็นเรื่องเล่าให้เรานำไปคิดเอง มากกว่าจะเป็นการสรุปความแบบง่ายๆ เหมือนกับปรกติทั่วไป แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการสื่อจริงๆ แล้วอาจหมายถึง

ให้ทำงานของเราด้วยใจที่อยากจะทำมันจริงๆ ไม่ใช่การทำมันเพราะว่าหวังที่จะได้เงินรางวัลหรือผลตอบแทน เพราะยังไงก็ตามคุณคงไม่มีทางหาจากมันได้เร็วๆ นี้แน่นอน

ลองคิดดูสิว่าถ้าเกิดคุณมีความคิดว่าอยากจะเขียนนิยายสักเรื่องเพราะต้องการหาเงิน แต่กว่าจะเขียนนิยายจบได้ 1 เรื่อง อาจต้องกินเวลานานแสนนานกว่าจะจบ และถ้าเกิดระหว่างทางนั้นคุณไม่สามารถทำเงินหรือกำไรได้เลยแล้วนั้น

คุณก็จะเลิกทำไปนั่นเอง หรือไม่ก็จะตั้งใจเขียนเพื่อเงินมากเกินไป จนทำให้นิยายของตัวเองนั้นไม่สนุกและขาดความเป็นตัวของตนเอง ขาดความรักนั่นเอง

ตรงนี้สำหรับมนุษย์ฟรีแลนซ์อย่างพวกผมแล้วนั้น มีเป้าหมายหลักในการทำงานอะไรสักอย่างเพื่อเงินและผลกำไร แน่นอนว่าเรามีความจำเป็นจะต้องทำแบบนั้น เพื่อให้เราได้มีเงินสำหรับกินอยู่และอาศัย


3. ยิ่งเราเชี่ยวชาญในการใช้ ไอเดียความคิด สร้างผลงานมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งซื้ออุปกรณ์น้อยลงเท่านั้น

Hugh บอกว่าเขาไม่เคยใช้อุปกรณ์อะไรอย่างอื่นเลย นอกจากปากกาหมึกซึมกับนามบัตรที่อยู่ในกระเป๋าของเขา ในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองออกมา เขาไม่มี Ipad สำหรับการวาดรูป รวมถึงอุปกรณ์ราคาสุดแพงที่คนทั่วไปฮิตกัน

Hugh บอกว่านั้นสำหรับมือใหม่เขาใช้กัน

ฟังประโยคนี้ฟรีแลนซ์บางคนอาจเจ็บ รู้สึกปวดแสบเล็กน้อยๆ กันอยู่ไม่ใช่เล่นๆ

อันนี้คือ Hugh ทำงานสายวาดการ์ตูนแบบดิบๆ เพราะแบบนั้นจึงสามารถพูดได้

แต่สำหรับงานบางตัวฟรีแลนซ์บางคนแล้วนั้น อุปกรณ์ก็เป็นอะไรที่สำคัญมากจริงๆ

เช่นช่างภาพจะสามารถถ่ายรูปได้ดีขึ้น เนื่องจากมีกล้องที่มีสมรรภาพดีมากขึ้น และเลนส์ที่ทั้งสวยและคมมากขึ้น

แต่นั่นแหละ เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีใครบางคนที่ใช้กล้องมือถือถ่าย หรือกล้องฟิล์มที่ออกวางจำหน่ายมาก่อน 50 ปี และยังถ่ายรูปได้สวยและน่าสนใจกว่า …

เอานะ…

ไอเดียความคิด-ถ่ายรูปได้สวยและน่าสนใจ

ใจความหลักๆ ของหัวข้อนี้นั้น คือให้เราทุ่มเทสมาธิและพลังไปกับตัวของ content มากกว่าตัวของ Production เพียงเท่านั้นเอง

รวมๆ แล้วความคิดสร้างสรรค์นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเป็นเจ้าของอุปกรณ์อะไรต่างๆ เลยนั่นเอง เช่นเดียวกันสุดยอดนักเขียนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปากกาแท่งละแสนหรือสมุดเล่มละหมื่น

ทำจากเพชรอุกกาบาตกับหนังหมีควายป่าเลยละมั้ง ถึงได้แพงขนาดนั้น

ยิ่งเราทำงานมากเท่าไหร่เราก็จะรู้ว่ามีอะไรที่เราใช้บ้างและไม่ใช่บ้างในการทำงานแต่ละครั้ง อุปกรณ์นั้นเป็นเพียงแค่เกราะกำบังให้กับศิลปินที่ไม่มั่นใจในตัวเอง และอยากหลบซ่อมตัวเท่านั้น

นี่เป็นเหตุผลที่เรามักจะเห็นศิลปินที่ไม่เก่งหลายๆ คนเป็นเจ้าของอุปกรณ์รุ่นใหม่ล่าสุดอยู่เสมอๆ เพราะว่าเขาซื้อมาเพื่อตอบสนองความต้องการว่า การที่ใช้สิ่งของเหล่านี้จะทำให้เขาดูเก่งขึ้นและหรูขึ้นนั่นเอง

ทั้งที่จริงๆ แล้ว ของเหล่านี้มันไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ จังๆ เลยในการทำงานแต่ละครั้ง เพราะรวมๆ แล้วเราก็ใช้มันเหมือนกับคอมพิวเตอร์เครื่องเดิมนั่นเอง

ศิลปินที่มีฝีมือมักจะไม่ต้องการอุปสรรคพวกนี้ในการทำงาน เขามักจะถามตัวเองอยู่เสมอว่าควรหรือจำเป็นมีของอะไรเหล่านี้หรือไม่ แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีอุปสรรคการทำงานเป็นของตัวเอง

เพราะแบบนั้นเราจึงต้องหมั่นถามตัวเองว่า สิ่งที่เรากำลังมีนั้นเป็นอุปสรรคในการทำงานของเราหรือเปล่า

และในเมื่อที่สุดแล้วเราได้รู้แล้วนั้น เราก็จะสามารถลบมันออกไปได้นั่นเอง

โดยรวมๆ แล้วหนังสือเล่มนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่กำลังประกอบอาชีพอิสระ มีอีกหลายหัวข้อที่จะนำไปช่วยเหลือเป็นแนวคิดในการทำงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งมักจะทำให้เราสามารถสร้างงานที่ดี ไปพร้อมกับงานที่ถูกใจลูกค้าได้จริงๆ

เหนือสิ่งอื่นใด เราควรปลดตัวเองออกมาจากคำวิจารณ์ของคนอื่นๆ แล้วเริ่มต้นลงมือสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองจริงๆ จังๆ ได้แล้วสักครั้งนั่นเอง

Share:

ติดตามเพื่อไม่พลาดทุกข่าวสาร และเรื่องราวดีๆ
สนใจบริการจัดทำการตลาดออนไลน์แบบครบวงจร

เบอร์โทรศัพท์ : 065-021-9888
E-mail : freelance108.mkt@gmail.com