HIGHLIGHT
- ไม่มีอะไรบนโลกที่มั่นคงและแน่นอนถาวร
- จะเกิดอะไรขึ้น หากงานที่คิดว่ามั่นคง กลับไม่มั่นคงอีกต่อไป
- ยิ่งในยุคโควิดอย่างนี้ จะปรับตัวอย่างไรดี
ช่วงนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นไปตามในแบบที่เราคิดอีกแล้วนะครับ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาล่าสุดในปี 2021 นั้นก็คือโรคระบาดอย่าง covid – 19 ที่มีทำให้เราได้รับรู้สัจธรรมของชีวิต ว่าไม่มีอะไรบนโลกที่มั่นคงและแน่นอนถาวร
จังหวะนี้คนตัดต่อ ต้องตัดภาพไปยังคำเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วนะครับ ว่ามันเป็นจริงแท้ดั่งท่านว่าจริงๆ ด้วย ชาบูๆ ครับ
อะไรที่เราเคยคิดว่ามันปลอดภัยมันก็ไม่ปลอดภัย จุดเซฟโซนของเราโดนถล่มเสียกระจุย จนทำให้หลายๆ คนนั้นตั้งหลักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทันเลยทีเดียว
ผมเองในตอนนั้นยังทำงานประจำอยู่เลยครับ และในตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าถึงแม้ว่าบริษัทจะต้องสั่งปิดและพนักงานทั้งหมดชั่วคราว แต่ก็คงไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมาก อีกสักพักก็น่าจะได้กลับมาทำงานกันเหมือนเดิม
คืออันนี้ไม่ได้เงินเดือนนะครับ แต่ในระหว่างที่สั่งพักงาน โดยที่ตัวเองยังพอมีเงินเก็บสำรองคอยประคองชีวิตตัวไปได้มั้ง เลยยังทำให้ไม่ถึงกับไม่เดือดร้อนแต่ยังใช้คำว่าพอไหว
แต่อาจเพราะผมวางใจมากเกินไป ในระหว่างที่กักตัวนั้นจึงไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากกินๆ นอนๆ นั่งดูซีรีส์ Netflix อยู่ที่บ้านเสียเวลาทิ้งขว้างไปแบบวันๆ เพราะในใจคิดว่ายังไงเดียวเดือนหน้าก้จะได้กลับไปทำงานแล้ว ขอใช้ชีวิตสบายๆ เหมือนลาพักร้อนสัก 1 เดือนก็แล้วกัน
แต่เป็นลาพักร้อนที่ต้องอยู่ในบ้านเท่านั้นนะ…..
ผ่านไป 3 เดือน มีไลน์และ E-mail เข้ามาจากบริษัท
อ้อสงสัยจดหมายเรียกตัวกลับไปทำงานมั้ง ดีเลยใช้เงินเก็บไปเยอะจนจะหมดอยู่แล้วด้วย
แถมนั่งอยู่บ้านจนเบื่อแล้ว อยากกลับไปทำงาน
จากตอนแรก ลั้นลาดีใจออกหน้าออกตา พอเปิดอ่านข้อความได้ไม่กี่บรรทัดเท่านั้นแหละ
แม่งกลายเป็นคนซึมเศร้าทันที
เนื้อความในจดหมายได้ระบุเอาไว้ว่า บริษัทมีความจำเป็นจะต้องขอปิดกิจการลง เพราะว่าเกิดการขาดทุนอย่างมหาศาลในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แถมถ้าเกิดยังฝืนเปิดกิจการต่อไปอาจมีผลลัพธ์ที่แย่ลงกว่าเดิมก็ได้ เนื่องจากสภาพเศรษฐ์กิจที่ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะฝืนตัวได้ง่ายๆ
ช็อกเลยครับ… นี่ตูเป็นคนตกงานมา 3 เดือนแล้วหรอวะ
แล้วกำลังจะต้องเป็นไปต่ออีกนานไหมอะ
คือจังหวะนั้นบอกเลยครับว่าจะหางานใหม่ที่ยากฉิบหาย
ผมถามเพื่อนคนอื่นๆ ว่าบริษัทไหนรับสมัครพนักงานเข้าไปทำงานมั้ง?
มันก็บอกว่าจะรับสมัครที่ไหนมา เขาไม่ไล่กูออกก็บุญมากขนาดไหนแล้ว
เอ่อ.. จริง
เมื่อนั่นแหละครับ ที่ผมได้เข้าไปสัมผัสชีวิตของการทำงานแบบฟรีแลนซ์เป็นครั้งแรก
อาชีพที่ผมทำในตอนนั้นก็คืออาชีพยอดฮิตอย่างการขับรถดิลิเวอร์รี่
ใช่ครับผมส่งอาหารของ Grab และ Foodpanda
คือไปลองทำทั้งสองค่ายเลยครับ เพื่อหาว่าค่ายไหนดีที่สุด
และคำตอบก็คือเหมือนกัน.. แม่งผีคนละตัวเท่านั้นแหละ…
การทำงานฟรีแลนซ์นั้นมีข้อดีมากมายหลายอย่างเลยครับ
อย่างแรกที่ผมค่อนข้างประทับใจและชื่นชอบมากที่สุดนั้นก็คือ
ทำน้อยได้น้อย ทำมากได้มาก
เพราะปรกติแล้วถึงแม้ว่าเราจะทำตัวขยันมากแค่ไหน ถวายชีวิตให้องค์กรขนาดไหน
มันก็ไม่มีผลอะไรกับเงินเดือนตอนสิ้นเดือนของคุณ และถ้าเกิดเจ้านายไม่เห็น
ก็อย่าหวังเลยว่าเขาจะเลื่อนขึ้นเดือนหรือเพิ่มโบนัสให้
การใช้ชีวิตแบบคนขยันและตั้งใจทำงานในองค์กรบริษัทนั้น จึงเป็นเรื่องที่ขาดแรงจูงใจในการลงมือทำเป็นอย่างมาก
แต่การทำงานอิสระหรือฟรีแลนซ์นั้น ยิ่งทำมากก็ยิ่งได้เงินมากขึ้นตามไปด้วย
ผมก็เลยซัดไปเท่าที่ผมจะทำไหวได้เลยในแต่ละวัน
รวมๆ แล้วชั่วโมงในการทำงานของผม 1 วัน นั้นจะมีจำนวนทั้งหมดกว่า 12 ชั่วโมง และทำให้ผมมีรายได้มากกว่าวันละ 1000 บาท เฉลี่ยอยู่ที่ 15000 บาท ต่อวัน
ถ้าใน 1 อาทิตย์ ผมลงมือทำทั้งหมด 5 วัน เท่ากับว่าผมจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่แล้วที่เดือนละ 3 หมื่นบาท
โฮลี่ชิท ตอนทำงานประจำเงินเดือน 12,000 บาท แถมมีวันหยุดแค่วันเดียวต่ออาทิตย์ด้วย
แต่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ทำตลอด 5 วันนะครับ ผมเลือกที่จะทำงานทั้งหมด 4 วัน แล้วหยุดพักผ่อนอีกทั้งหมด 3 วัน ข้อดีของการประกอบอาชีพฟรีแลนซ์คือเราสามารถยืดหยุ่นการใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างเต็มที่
ตราบใดที่ยังมีเงินค่าใช้จ่ายพอตามที่เราต้องการ
จะหยุดกี่โมง จะตื่นกี่โมง นอนกี่โมง ทำงานกี่โมง เลิกกี่โมง พักเมื่อไหร่
คือหลุดพ้นออกมาจากกรอบความคิดแบบเดิมๆ ได้แบบง่ายๆ เลย
จากปรกติที่เราจะต้องคิดว่า จะต้องทำงานนะ จะต้องแบบนี้นะ..
วันนั้นผมเลยเข้าใจเลยว่า เราสามารถมีเงินและมีเวลาไปได้พร้อมๆ กัน
ไม่ใช่อย่างที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าต้องขยัน เที่ยวน้อย ทำงานเยอะๆ ถึงจะรวย
คือเอาจริงๆ ถ้าเกิดผมต้องการเงินใช้ที่อาทิตย์ละ 3 พันบาท ผมทำงานแค่ 2 วันต่ออาทิตย์ยังได้เลยครับ แต่แบบมันอยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำนะ
สมมุตินะครับทุกคน ว่าถ้าเกิดงานประจำมันไม่ใช่งานที่มั่นคง และงานที่ปลอดภัยเหมือนกับจุดเซฟโซนของเรา ทุกคนยังคงจะเลือกที่จะทำงานประจำอีกไหม
ถ้าเกิดไปทำงานทุกๆ วัน แต่ก็มีโอกาสที่เขาจะไม่จ่ายเงินเดือน หรืออาจจ่ายแต่จ่ายไม่เท่ากันทุกเดือน เราจะยอมเสียเวลาชีวิตวันละ 8 – 9 ชั่วโมง ไปทำอีกต่อไปไหม
คำตอบของผมคือ “ไม่”
ในเมื่ออะไรบนโลกมันก็ไม่แน่นอนอีกต่อไปแล้ว เพราะอย่างนั้นเราก็ไม่ควรหลอกตัวเองว่ามันยังมั่นคงอยู่
หลังจากนั้นมาผมก็เลยเลือกที่จะเดินบนเส้นทางของฟรีแลนซ์แบบจริงๆ จังๆ และแน่นอนว่าอาชีพนี้เป็นอะไรที่ไม่มีความมั่นคง และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ทำให้เราจะต้องฝึกทักษะเพื่อเพิ่มความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ
โดยผมไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องขับรถให้เก่งให้เร็วนะครับ
เราอาจฝึกอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน เช่นการเขียนบทความอะไรสักอย่างให้ทุกคนอ่านกันอยู่ในตอนนี้ เพื่อที่วันไหนเกิดสมมุติว่าผมรถคว่ำขึ้นมา ผมจะได้มีทางเลือกอื่นในการสร้างรายได้นั่นเอง
เหนืออื่นใดคือการเขียนและอ่านหนังสือก็เป็นสิ่งที่ผมรักอีกด้วย
แต่ที่พูดอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าการทำงานประจำเป็นอะไรที่ไม่ดี ไร้สาระ เสียเวลาอย่าไปเลือกทำอยู่หรอกนะครับ
แต่ผมอยากจะเตือนให้ทุกคนที่กำลังอ่านได้เข้าใจกันว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต เราทุกคนจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนให้ตัวเองทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ว่าไปแล้วมันทำให้ผมนึกถึงหนังสืออย่าง Who moved my Cheese ใครเอาเนยแข็งของชั้นไป ที่ว่าถึงการรับมือการเปลี่ยนแปลงของคนเราที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นประโยชน์และทำให้ตระหนักได้อย่างดีเลยว่า
คนเราควรมีแผนสำรองที่จะคอยรับมืออยู่เสมอๆ นั่นเอง เพราะว่าในอนาคตข้างหน้า เราอาจต้องเจอกับวิกฤตอะไรที่หนักหนาไปกว่า covid – 19 อีกก็เป็นไปได้
และผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกคนที่กำลังอ่านบทความของผมนี้นั้นจะต้องเป็นผู้รอดในสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหนๆ ก็ตาม