รีวิวหนังสือ ทำไมคุยกับคนคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง
ลูกค้าหาย อาจเกิดได้หลายสาเหตุ ดังนั้น ทักษะการเจรจาและพูดคุยกับลูกค้านั้น เป็นอีก 1 ทักษะที่ฟรีแลนซ์อาชีพหลายๆ คนขาดไปในทักษะตรงนี้ และก็เป็นจุดด้อยที่หลายๆ คนนั้นมองข้ามไปอีกด้วย
อาจเพราะว่าอาชีพอย่างพวกเรานั้นมักจะมีทัศนคติที่ว่า เก่งเอาไว้ก่อนเดียวก็มีคนจ้างไปทำงานเอง จึงมุ่งเน้นที่จะฝึกทักษะในเรื่องของฝีมือการทำงานตัวเองให้สูงเข้าไว้ โดยไม่ได้สนใจพัฒนาทักษะในด้านอื่นๆ อย่างเช่นการพูด
สุดท้ายและจึงเกิดปัญหาอย่างเช่นลูกค้าหนีไปจ้างคนอื่น ทั้งๆ ที่ตัวเรานั้นเก่งและมีความสามารถมากกว่านะเอง
ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าฝีมือเป็นเพียงแค่ 1 ปัจจัย ที่ทำให้ลูกค้าแต่ละคนนั้นสนใจที่จะจ้างและทำการกับเราเพียงแค่เท่านั้น หลักๆ แล้วเขาจะเลือกและอยากทำงานกับคนที่รู้สึกดีด้วยมากกว่าคนที่ทำงานเก่ง แต่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกแย่หรือรำคาญ
แต่นั่นแหละ คือไอ้เราก็ใช่ว่าจะเป็นคนพูดเก่งมาอะไรจากไหนซะเมื่อไหร่
แต่การพูดก็คือการพูดครับ มันไม่มีทางยากไปกว่าวิชา เคมี ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ไปได้อย่างแน่นอน
วันนี้เราจึงจะมาพูดถึงหนังสืออีก 1 เล่ม ที่จะช่วยเข้ามาแก้ไขปัญหาทำให้คุณสามารถพูดกับลูกค้าได้ดีขึ้น และทำให้เขาอยากจะจ้างงานของเราต่อ ถึงแม้ว่าเราจะทำงานได้ห่วยกว่าคนอื่นๆ ก็ตามนั่นเอง
หนังสือเล่มนี้มีชื่อเรียกว่า ทำไมคุยกับคนคนนี้แล้วคิมูจี้จัง หยอกๆๆๆ .. ทำไมคุยกับคนคนนี้แล้วรู้สึกดีจัง หนังสือที่จะสอนให้เราสามารถพูดคุยได้อย่างสนุกสนาน และยังส่งผลทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีและอยากคุยกับเรานานๆ
เรียกได้ว่านอกจากจะทำให้งานแล้ว ยังทำให้เราผูกสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ว่าจ้างอีกด้วย โดยเนื้อหาในเล่มก็เป็นเรื่องที่สามารถนำไปใช้งานได้แบบจริงๆ แต่อาจไม่ทั้งหมด 100% เนื่องจากความแตกต่างของทางด้านวัฒนธรรมที่ผู้เขียนเป็นคนญี่ปุ่น และบ้านเราเป็นคนไทย และยังทำงานเป็นนักจัดรายการวิทยุอีกด้วยนั่นเอง
เนื้อหาในหนังสือที่เขียนออกมาจะแบ่งกันออกเป็น 2 ภาคส่วน 1. เนื้อหาในเชิงของวิชาการ 2. เนื้อหาในเชิงของการลงมือทำ ซึ่งเราจะต้องอ่านและทำความเข้าใจแบบควบคู่กันไปด้วยถึงจะดีนั่นเอง
ซึ่งในส่วนของวิชาการก็จะเขียนถึงที่มาที่ไป ทำไมเราถึงควรพูดแบบนี้หรือไม่ควรพูดแบบนั้น การลงมือทำก็จะเป็นยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เราควรใช้คำพูดเหล่านั้น ในการทำให้คนอื่นรู้สึกดี
หลักๆ แล้วในหนังสือจะพูดเอาไว้ว่า การพูดคุยและสนทนานั้นเป็นเกมที่ต้องเล่นกัน 2 คน โดยเป็นเกมที่ทั้งสองคนจะต้องชนะการแข่งขันนี้ไปด้วยกันเท่านั้น และกฎกติกาของเกมการเล่นนี้ก็ค่อนข้างยืดหยุ่นและไม่มีกติกาอะไรชัดเจน จึงเป็นเรื่องที่ง่ายและสนุกที่เราจะจะประคองเกมนี้ไปด้วยกันจนถึงเส้นชัย
หลักๆ แล้วการที่จะทำให้อีกฝ่ายพอใจกับการสนทนาครั้งนั้นๆ คือการที่เราต้องทำให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดข้อมูลต่างๆ ออกมาเอง ไม่ใช่ไปแข่งขันหรือแย่งกันพูด โดนวันนี้ผมมีเทคนิคดีๆ ทั้งหมด 5 ข้อ จากการที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาแชร์ให้ทุกคนฟังกันดู
อันนี้ก็เอาไปทดลองทำกันดู บางอันก็อาจแล้วแต่พิจารณาของผู้อ่านเองเลยว่า เหมาะสมไหมหรือดีไม่ที่เราจะทำตาม เพราะยังไงหนังสือประเภท How to เหล่านี้ ก็เป็นเพียงแค่สมมุติเหตุการณ์แต่เพียงเท่านั้น
1. เตรียมตัวก่อนเข้าสู่สนามการแข่งขันนี้
เตรียมตัวอย่างไรบ้าง ก่อนอื่นเลยขอให้ทุกคนอย่าพึ่งตั้งแง่ใดๆ เกี่ยวกับคู่การสนทนาของคุณ มองเขาอยู่ในสถานะที่เท่ากับเรา ในบางครั้งเราอาจถูกล้อถูกแซวจากอีกฝ่าย แต่อย่าพึ่งมองไปว่าเป็นการดูถูก เพราะมันอาจเป็นอีกเทคนิคที่คู่สนทนาของคุณกำลังใช้ เพื่อที่จะสามารถเอาชนะเกมการแข่งขันนี้ไปได้พร้อมๆ กันนะเอง และต่อให้อีกฝ่ายจะล้อเราแต่ถ้าไม่ได้ทำด้วยเจตนาที่ไม่ดี หรือทำเพราะตั้งใจอยากจะให้เราขายหน้าแล้วนั้น ยังไงก็เป็นเรื่องที่โอเคสามารถพูดคุยกันได้นั่นเอง
ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เราอาจได้เจอในระหว่างกำลังพูดคุยงาน
โหพี่ดูโทรมจังช่วงนี้ทำงานหนักงั้นหรือครับ?
อือ … ไม่ได้นอนมาหลายวันละ ขอบใจนะที่เป็นห่วง ว่าแต่งานงวดนี้เป็นไงหนักมากเกินไปไหม ทำไหวใช่ไหม
นอกเหนือจากจะทำให้สามารถต่อบทสนทนาได้แล้วนั้น ยังทำให้อีกฝ่ายรู้ด้วยว่าตัวของเรานั้นมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสุขภาพการทำงานของอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เราได้รับความสัมพันธ์ในแง่บวกกลับมานั่นเอง
แนะนำว่าอย่าเล่นเรื่องส่วนตัวมากเกินไปเช่น สีผิว รูปร่าง ความเชื่อ ศาสนา สำเนียง เพราะนอกจากจะโดนต่อยกลับมาได้แล้วนั้น เราอาจเสีงานสำคัญๆ ไปเลยก็ได้นั่นเอง
2. ฝึกการอ่านบรรยากาศและทำตัวให้กลมกลืนกับบรรยากาศ และสร้างบรรยากาศในการพูดคุย พเพื่อดึงดูดไม่ให้ ลูกค้าหาย
ไม่มีใครชอบการสนทนาที่มีแต่เพียงความเงียบ เพราะนั่นมันหมายถึงสารที่เราต้องการจะส่งไปนั้นไปไม่ถึงกับตัวของอีกฝ่าย หรือสมมุติว่าทุกคนกำลังเครียดจากการสนทนาอะไรบางอย่างแล้วนั้น การที่จู่ๆ เราจะโผล่ออกไปเล่นมุกตึงโปะ นั้นก็ดูเป็นความคิดอะไรที่ฆ่าตัวตายเป็นอย่างมากนั่นเอง
ถึงแม้จะเรียกความสนใจจากทุกคนในวงได้ก็ตาม
แต่อาจทำให้โดนหลายๆ คนทองด้วยสายตาตำหนิได้นั่นเอง
เพราะมันดูเหมือนไม่มีมารยาท
การทำให้บทสนทนาของคนรอบตัวนั้นสนุกเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่บางทีอาจดูให้เหมาะสมกับรูปแบบและสถานการณ์ปัจจุบันให้มาก เพราะในบางครั้งการสนทนาที่ดีนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตลกเสมอไปก็ได้ครับ
โดยเราอาจเริ่มจากคำถามก็ได้ เพื่อทำให้วงสนทนานั้นเริ่มผ่อนคลายลงนั่นเอง
เช่นในตอนที่เรากำลังมีปัญหากับตัวของลูกค้าและคู่สนทนาของเรา อาจหลีกเลี่ยงการพูดคุยถึงเรื่องงานแล้วชวนคุยเรื่องอื่นๆ แทน เพื่อลดความตึงเครียดของการสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในจังหวะนั้น
กาแฟร้านนั้นอร่อยไหมครับ ผมกำลังอยากทานอยู่พอดี
รสชาติก็โอเคนะ แต่ราคาแพงเกินไปหน่อย ทางที่ดีอย่าไปซื้อกินเลย
หลังจากนั้นก็พยายามชวนคุยต่อไปเรื่อยๆ พอเห็นว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีแล้วค่อยวกกลับมาคุยเรื่องงานก็ได้นั่นเอง
3. ถ้าไม่อยากให้ ลูกค้าหาย ไม่ต้องพยายามให้ตัวเองอยู่เหนือคู่สนทนา
อันนี้มีหลายๆ คนเป็น ที่จะต้องพยายามขิงพยายามเบ่ง ว่าตัวเองนั้นเก่งและดีกว่าคู่สนทนาอย่างชัดเจนออกนอกหน้า อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะดูไม่ออกนะครับ ว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น แต่เอาจริงๆ แล้วการพยายามทำตัวให้เหนือกว่านั้น เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์เราที่มันฟังตัวอยู่ในยีนในร่างกาย เพราะอย่างนั้นแล้วเราจึงมีเทคนิคทั้งหมด 3 ข้อ ที่จะช่วยให้เราไม่เผลอทำตัวแย่ๆ ต่อหน้าคนอื่นครับ 1. ชื่นชมอีกฝ่าย 2. แสดงความรู้สึกทึ่งอยู่บ่อยๆ 3. คุยให้สนุกเข้าไว้
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นฟรีแลนซ์และมีความสามารถในงานด้านนั้นๆ เหนือกว่าลูกค้า ก็ไม่ต้องไปพยายามข่มลูกค้าแล้วบอกว่าเราเก่งกว่าเหนือกว่า ให้พยายามพูดและอธิบายไปอย่างใจเย็นๆ เพื่อให้ลูกค้าเข้าใจและไม่ได้เบื่อขี้หน้ากันมากที่สุด
เพราะต่อให้เราเก่ง แต่ถ้าน่ารำคาญก็จะไม่มีใครอยากร่วมงานด้วยนะเอง
หลังจากอ่านจบแล้วมันจึงเป็นหนังสือ How to พร้อมกับแชร์ประสบการณ์ที่ได้จากผู้เขียน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่มันจะเหมาะสมกับวัฒนธรรมของบ้านเรา เพราะอย่างนั้นแล้วก็แยกแยะให้ดีก่อนจะนำไปใช้งานนะครับ
